ประวัติ เกรแฮม พ็อตเตอร์ จากโค้ชโนเนม ทะยานสู่เก้าอี้กุนซือเชลซี MM88HOT
เปิดประวัติทำความรู้จักกับ เกรแฮม พ็อตเตอร์ กุนซือสู้ชีวิต ผู้เริ่มต้นจากการคุมทีมดิวิชั่น 4 ของสวีเดน กระทั่งวันนี้ได้มาคุมสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี
ข้อมูลส่วนตัว เกรแฮม พ็อตเตอร์
ชื่อเต็ม : เกรแฮม สตีเฟ่น พ็อตเตอร์
เกิด : 20 พฤษภาคม 1975 ที่เมืองโซลิฮัลล์ ประเทศอังกฤษ
อายุ : 47 ปี
ส่วนสูง : 185 เซนติเมตร
ชีวิตนักฟุตบอล MM88HOT
สมัยเป็นนักเตะ เกรแฮม พ็อตเตอร์ เป็นผู้เล่นในตำแหน่งแบ็กซ้าย และเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ จากนั้นย้ายไปเล่นกับหลายสโมสร ไม่ว่าจะเป็น สโต๊ก ซิตี้, เซาแธมป์ตัน, เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน, นอร์ทแธมป์ตัน, เรดดิ้ง, ยอร์ค ซิตี้ ก่อนจะบินไปเล่นให้กับ บอสตัน ยูไนเต็ด ที่สหรัฐอเมริกา
หลังจากนั้น พ็อตเตอร์ ย้ายกลับมาเล่นให้กับ ชรูว์สบิวรี่ และสโมสรสุดท้ายคือ แม็คเคิลสฟิลด์ ทาวน์ ก่อนจะแขวนสตั๊ดไปในปี 2005 ด้วยวัยเพียง 30 ปี ส่วนในระดับทีมชาติ พ็อตเตอร์เคยลงสนามให้กับทีมชาติอังกฤษ ชุดยู-21 เพียงนัดเดียวแค่นั้น และตลอดระยะเวลาการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ พ็อตเตอร์ไม่เคยได้สัมผัสแชมป์ใดๆ เลยสักรายการเดียว
เส้นทางกุนซือ MM88HOT
หลังจากอำลาสนามในฐานะนักเตะ พ็อตเตอร์ก้าวเข้าสู่เส้นทางโค้ช เริ่มจากการทำหน้าที่ผู้อำนวยการพัฒนาฟุตบอลของมหาวิทยาลัยฮัลล์ พร้อมกับนั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการเทคนิคทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติกานา ในฟุตบอลโลกหญิง 2009 จากนั้นไปรับตำแหน่งผู้ช่วยโค้ชทีมฟุตบอลมหาวิทยาลัยอังกฤษ และทีมมหาวิทยาลัยลีดส์ เมโทรโพลิแทน
กระทั่งเดือนธ.ค. 2010 พ็อตเตอร์ก้าวเข้าสู่การเป็นโค้ชฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มตัว โดยเซ็นสัญญาคุมทีม ออสเตอร์ซุนด์ สโมสรระดับดิวิชั่น 4 ของสวีเดน และ พ็อตเตอร์ ก็สามารถทำผลงานได้อย่างเหลือเชื่อ โดยพาทีมเลื่อนชั้นได้ 2 ปีซ้อน จนขึ้นมาอยู่ในดิวิชั่น 2 เมื่อปี 2013
ต่อมา พ็อตเตอร์ ใช้เวลาอีก 3 ปี นำทัพ ออสเตอร์ซุนด์ ทะยานขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร เมื่อปี 2016 ไม่เพียงเท่านั้น พ็อตเตอร์ พาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยของสวีเดนในฤดูกาล 2016/17 ทำให้ได้สิทธิไปโชว์ฝีเท้าในฟุตบอลยู โรป้า ลีก ซีซั่น 2017/18 ซึ่งถือเป็นผลงานสุดมหัศจรรย์ของ พ็อตเตอร์ ที่ใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี สร้างทีมจากระดับดิวิชั่น 4 จนก้าวขึ้นมาสู่ลีกสูงสุด แถมได้สิทธิไปลุยฟุตบอลสโมสรยุโรปด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ออสเตอร์ซุนด์ของเกรแฮม พ็อตเตอร์ ทำให้แฟนบอลตกตะลึงเมื่อพวกเขาปราบคู่แข่งอย่าง กาลาตาซาราย, โฟลา เอสช์ และ พีเอโอเค ในรอบคัดเลือก ทะยานเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่ม โดยมีคู่แข่งร่วมกลุ่มอย่าง แอท.บิลเบา, แฮร์ธ่า เบอร์ลิน และซอร์ยา ลูฮานส์
และความมหัศจรรย์ของพวกเขาก็ไม่ได้หยุดแค่นี้ เมื่อ พ็อตเตอร์ พา ออสเตอร์ซุนด์ จบอันดับ 2 ของกลุ่ม ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ได้แบบหักปากกาเซียน ก่อนจะไปพ่ายต่อ อาร์เซน่อล ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยสกอร์รวม 2-4 แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้วงการฟุตบอลยุโรปต้องหันมามองแล้วว่าโค้ชอังกฤษคนนี้เป็นใคร
ด้วยผลงานที่โดดเด่น ทำให้ “หงส์ขาว” สวอนซี ดึงตัว พ็อตเตอร์ มาคุมทีมในปี 2018 และพาทีมจบอันดับ 10 ของตารางลีกแชมเปี้ยนชิพ ก่อนที่ปีต่อมา “นกนางนวล” ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน จะจ่ายค่าฉีกสัญญา 3 ล้านปอนด์ เพื่อกระชากตัว พ็อตเตอร์ มาจากสวอนซี
นี่เป็นครั้งแรกที่ พ็อตเตอร์ ได้ทำหน้าที่กุนซือพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นงานสุดท้าทายสำหรับเขา เพราะคู่แข่งแต่ละทีมล้วนแต่เป็นเสือสิงห์กระทิงแรด แถม ไบรท์ตัน ก็เป็นทีมที่มีงบประมาณจำกัด ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังเหมือนกับคู่แข่งหลายๆ ทีม
อย่างไรก็ตาม พ็อตเตอร์ สามารถพา ไบรท์ตัน เอาตัวรอดในพรีเมียร์ลีกได้ตลอด โดยจบอันดับ 15 ในซีซั่น 2019/20, อันดับ 16 ซีซั่น 2020/21 และทีมก็มีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัดจนมาจบอันดับ 9 ในซีซั่น 2021/22 ซึ่งถือเป็นผลงานที่ไม่ธรรมดาสำหรับสโมสรอย่างไบรท์ตัน
กระทั่งมาถึงฤดูกาลนี้ 2022/23 พ็อตเตอร์ ยกระดับ ไบรท์ตัน ขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง โดยพาทีมชนะ 4 จาก 6 เกมแรกของซีซั่น จนในที่สุด ทีมนกนางนวลก็ดูจะเป็นสโมสรที่เล็กเกินไปแล้วสำหรับเขา โดย “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ยักษ์ใหญ่แห่งกรุงลอนดอน ตกลงจ่ายค่าฉีกสัญญาให้กับ ไบรท์ตัน เพื่อกระชากตัวกุนซือสมองเพชรรายนี้มาคุมทีมแทน โธมัส ทูเคิ่ล ที่ถูกปลดออกไป
การเข้ามานั่งเก้าอี้กุนซือของเชลซี ถือเป็นงานใหญ่ที่สุดในชีวิตของพ็อตเตอร์ และแน่นอนว่า สิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้ คือ “แรงกดดันมหาศาล” ผิดกับทุกงานและทุกสโมสรที่เขาเคยผ่านมาในตลอดอาชีพการเป็นโค้ช
แต่ในขณะเดียวกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ พ็อตเตอร์ จะได้คุมสโมสรระดับโลกที่มีองค์ประกอบพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานสโมสร ศักยภาพขุมกำลัง การบริหารจัดการนอกสนาม รวมถึงงบประมาณก้อนโตที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
